วันจันทร์ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

การพัฒนาฐานข้อมูลบนเว็บด้วย JSF

การพัฒนาฐานข้อมูลบนเว็บด้วย Java Server Faces นั้นเว็บที่สอนแนะนำการเขียนที่เป็นภาษาไทยนั้นหายากมาก โดยเฉพาะที่นำไปใช้กับการพัฒนาระบบสารสนเทศ ที่ใช้กับองค์กรขนาดใหญ่ แทบจะไม่มี มีเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อยไม่สามารถที่จะนำไปใช้ในองค์กรได้จริง ผมพยายามหาจนเจอที่ลิงค์ของ http://balusc.blogspot.com/2006/06/using-datatables.html ที่ผมคิดว่าครอบคลุม ถ้ามีเวลาจะพยายามแปลมาเป็นภาษาไทย เพื่อจะได้นำมาเผยแพร่ในโอกาสต่อไป และนอกจากนี้ยังเว็บที่เป็น Core ของภาษาจาวา รวมทั้ง Framework ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งผมว่าน่าสนใจมาก อยู่ที่เว็บ http://www.roseindia.net/jsf/introduction.shtml แต่เว็บทั้งสองออกแบบหน้าตาไม่สวย แต่เน้นเนื้อหาที่ครอบคลุม สมบูรณ์แบบ

วันจันทร์ที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ข้อเสนอแนะถึงสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน

เมื่อวันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม 2551 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาได้เชิญให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมาเป็นวิทยากรมาประชุมเชิงปฏิบัติการ การกำหนดมาตรฐานการควบคุมภายใน โดยวิทยากรจะพูดประเด็นหลัก ๆ ในประเด็นความเสี่ยงต่าง ๆ ในการดำเนินงานได้แก่ การประเมินความเสี่ยง การวัดค่าความเสี่ยง การวิเคราะห์ผลกระทบของความเสี่ยง การบริหารความเสี่ยง ในประเด็นความเสี่ยงวิทยากรได้พูดถึง การทุจริตประเภทต่าง ๆ ทั้งแบบตั้งใจ และแบบเข้าใจผิด ประมาทเลินเล่อ หรือโดยไม่ได้ตั้งใจ และมีประเด็นเกี่ยวกับกิจกรรมการควบคุม และสารสนเทศและการสื่อสาร ประเด็นนี้ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมา ว่าจะเขียนเสนอแนะถึง สตง. ซึ่งผมคิดไว้นานแล้วแต่ไม่ได้เขียนในบล็อก วันนี้จึงขออนุญาตมาเขียนเสนอแนะไปยัง สตง. ในเรื่องการตรวจสอบจากประชาชน หรือองค์กรภายนอกไปสู่ สตง. เพื่อลดภาระงานของ สตง.

ประเด็นที่จะเสนอแนะ คือ ให้ออกกฎหมาย หรือระเบียบควบคุมให้หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจทุกแห่งเผยแพร่ ใบเสร็จรับเงิน ใบสำคัญรับเงิน รายรับ รายจ่ายทุกชนิดขึ้นไปเผยแพร่ที่เว็บไซต์ของหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อประชาชน หรือองค์กรได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ซึ่งจัดเป็นการตรวจสอบจากภายนอก ที่คิดว่าน่าจะได้ผลที่สุด

ที่มาของข้อเสนอแนะในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากผมได้อ่านข่าว และการให้สัมภาษณ์จาก
นาย​เรือง​ไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหาที่มีผลงานการตรวจสอบนักการเมือง ระดับนายกรัฐมนตรีถึง 3 คนต้องมีอันให้หลุดพ้นจากตำแหน่ง เช่น การตรวจสอบการจัดทำรายการทีวีรายการ ชิมไปบ่นไป กับรายการยกโขยงหกโมงเช้า หรือกรณีของนายกทักษิณ และกรณีลูกสาวนายกสมชาย กรณีแจ้งทรัพย์สินเป็นเท็จ

จากการให้สัมภาษณ์ถึงที่มาของหลักฐานความผิดต่าง ๆ ที่นายเรืองไกรได้มา เขาบอกว่า ได้จากการสืบค้นจากอินเทอร์เน็ตทั้งหมด จะเห็นว่า ผลของการเผยแพร่ข่าวสาร หรือสิ่งต่าง ๆไว้บนเว็บไซต์จะเป็นประโยชน์สูงสุดในการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อมูลการทุจริต การไหลของเงิน โดยกระบวนการตรวจสอบจะเป็นหน้าที่ของประชาชนคนไทยทุกคน สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ ต่อไปคนที่คิดจะทุจริตคงต้องระมัดระวังกันมากขึ้น จนเลิกที่จะคิดทุจริต ประเทศไทยก็จะมีแต่ผู้ทำงานอย่างสุจริต ได้เป็นผู้บริหาร เป็นนายกรัฐมนตรี ประชาชนมั่งมีศรีสุข ชุมชนเข้มแข็ง อะไร ๆ ก็จะดีขึ้น

วันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

การเป็นผู้บริหาร

ในช่วงวันที่ 20-24 ต.ค. 2551 ผมได้เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการการบริหารจัดการอุดมศึกษา ที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นหลังจากจัดการสอบปลายภาคเสร็จ หลังจากอบรมเสร็จ มหาวิทยาลัยฯ ก็เปิดเรียนทันที ทำให้ภาคเรียนนี้ไม่ได้มีเวลาทำงานอย่างอื่นเลย

สำหรับการอบรมทั้ง 5 วันมีวิทยากรระดับชั้นนำของประเทศมาให้ความรู้ เช่น
  • ดร.สุชาติ เมืองแก้ว บรรยายเรื่องการบริหารจัดการอุดมศึกษา
  • ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ บรรยายเรื่องทิศทางการอุดมศึกษาในยุคโลกาภิวัฒน์ และการวางแผนกลยุทธ์
  • ดร.มานิต บุญประเสริฐ บรรยายเรื่องคุณธรรม จริยธรรมสำหรับผู้บริหาร และภาวะผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลงในระดับอุดมศึกษา
  • รศ.ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน บรรยายเรื่อง การบริหารการเงินและรายได้อุดมศึกษา
  • ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ บรรยายเรื่อง การประกันคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษา
  • ผศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงวิเศษ อธิการบดี มาเล่าประสบการณ์และแนวคิดในการเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ในเอกสารจำนวนมากในนั้นได้เจอเอกสารที่เขียนโดย รศ.ดร.ทองคูณ หงส์พันธุ์ อดีตเลขาธิการสภาสถาบันราชภัฏ เขียนได้ดีน่าจะนำมาเป็นข้อคิด แนวทางในการคัดเลือกผู้บริหาร หรือสำหรับผู้ที่อยากเป็นผู้บริหารได้สำรวจตัวตนว่ามีคุณสมบัติที่ควรเป็นผู้บริหารหรือไม่ คุณลักษณะ ๑๕ ประการ ของผู้บริหารที่ท่านเขียนเอาไว้มีดังนี้

ความสำเร็จ ความล้มเหลวของการเป็นผู้บริหารของแต่ละคนขึ้นอยู่กับคุณลักษณะ ๑๕ ประการที่แต่ละคนได้สร้างสมไว้ จะมีมากน้อยแตกต่างกันไป

  1. คนประเทศนี้ มีลักษณะความเป็นผู้นำ ชอบนำคนอื่น ชอบเป็นหัวแถว มากกว่าเป็นหางแถว
  2. คนประเภทนี้ ชอบเสี่ยง ชอบท้าทาย ชอบทำงานที่ยาก ๆ ยิ่งรู้ว่าต้องเสี่ยงแต่ก็อยากทำอย่างเสี่ยง
  3. คนประเภทนี้ ถือว่า การทำงานหนักคือดอกไม้ของชีวิต พวกนี้ไม่กลัวงานหนัก มีความสุขอยู่กับการทำงานหนัก มีโรคอึดสูง
  4. คนประเภทนี้ อยากรู้อยากเห็นและอยากลอง ไม่อยากอยู่หางแถว ปลายแถว อยากรู้อยากลอง เสนอให้คนที่มีอำนาจเขาก็ไม่เอาด้วย เป็นคนอนุมัติเสียเองก็จะได้ทำสมอยาก
  5. คนประเภทนี้ มีความคิดแปลก ๆ ใหม่ ๆ อยากทำในสิ่งที่ตนคิด การเป็นผู้บริหารสามารถนำความคิดมาปฏิบัติได้ง่ายกว่า
  6. คนประเภทนี้ ชอบบริการ ชอบรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น มีความคิดความเชื่อว่า การเป็นผู้บริหารนั้นแท้ที่จริงคือ ผู้บริการ ผู้รับใช้ คนอื่น
  7. คนประเภทนี้ ชอบอำนาจ เพราะอำนาจนำมาซึ่งสิ่งที่ตนอยากทำทั้งเพื่อตนเอง หรือเพื่อองค์กร เพื่อผู้อื่น
  8. คนประเภทนี้ ชอบเป็นผู้ชนะ เกลียดการเป็นผู้แพ้ มักจะเอาชนะปัญหาอุปสรรค หรือแม้แต่เอาชนะคนอื่น
  9. คนประเภทนี้ มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง อยากทำอะไรให้สำเร็จ มุมานะและวิริยะแรงกล้า มี ลูกฮึดสูง
  10. คนประเภทนี้ มีจิตมุ่งมั่นที่จะพัฒนา เห็นอะไรที่ไม่ถูกต้องเห็นอะไรที่ไม่ดี ทนไม่ได้ อยากทำให้ได้ ทำให้ดี ต้องทำให้ได้ทำให้สำเร็จ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่ได้ต้องได้
  11. คนประเภทนี้ มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง เชื่อในศักยภาพของตน เชื่อในอำนาจภายในของตน คนมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง บางครั้งก็กลายเป็นคน ดื้อ
  12. คนประเภทนี้ มีจิตสาธารณะ มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมสูง ชอบทำงานเพื่อคนอื่น เพื่อองค์การ เพื่อส่วนรวม
  13. คนประเภทนี้ ชอบเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ มีความสูขอยู่กับการให้ ชอบร้องเพลง พี่มีแต่ให้ ให้จนเกษียณแล้วก็ยังอาศัยบ้านแม่ยายอยู่
  14. คนประเภทนี้ เป็นผู้มีจิตกุศลสูง ชอบช่วยเหลือคนอื่น ทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นมีทุกข์ เดือดร้อน มีปัญหา
  15. คนประเภทนี้ ถือว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน บันดาลสุข มีความสุขอยู่กับการทำงาน
หลายข้อผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่บางข้อผมมีความเห็นแตกต่าง เช่น
  • ข้อที่ ๑ มีลักษณะความเป็นผู้นำ ชอบนำคนอื่น ผมมีความเห็นว่าควรใช้คำว่า ภาวะผู้นำ มากกว่า เพราะความเป็นผู้นำอาจจะเป็นบุคคลทั่วๆ ไปสามารถมีความเป็นผู้นำได้ เช่น หัวหน้าโจร หัวหน้าแก๊งชิงทรัพย์ รีดไถ แต่ภาวะผู้นำนั้น มาจากการได้รับฉันทามติ หรือจากกฏหมายให้เป็นผู้นำจึงเกิด ภาวะผู้นำ
  • ข้อที่ ๘ ชอบเอาชนะ เกลียดการแพ้ ผมมีความเห็นว่าบางครั้งการแพ้บ้างเพื่อเป็นกระจกส่องหลัง หรือเป็นเหมือนเบรคของรถยนต์ ลดความแรง ให้เราได้รู้ตนเองบ้าง แล้วจึงค่อยมาพยายามใหม่ แต่ที่น่ากลัวคือการไม่รู้จักมีน้ำใจนักกีฬา เอาชนะกันโดยไม่ใช้กติกา ดังเช่นในแวดวงการเมืองในยุคปัจจุบัน
  • ข้อที่ ๑๑ เชื่อมั่นในตนเองสูง หรือ ดื้อ ผมคิดว่า น่ากลัวกว่าข้ออื่น ๆ กลัวไม่เป็นประชาธิปไตย กลัวบริหารแบบ CEO ในยุครัฐบาลทักษิณ
ท่านผู้อ่านมีความเห็นอย่างไร เชิญแลกเปลี่ยนทางช่องทาง แสดงความคิดเห็นด้านล่างได้ครับ


วันพุธที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เมื่อคุณงามความดีเป็นปฏิปักษ์กับเงินตราคุณว่าจริงหรือไม่

ประเด็นหัวข้อที่ตั้งขึ้นวันนี้ เพื่อที่จะชี้ให้นักศึกษาที่ผมสอนอยู่ในปัจจุบันนี้ (ซึ่งในห้องเรียนจะไม่ค่อยได้สอดแทรกลงไป ขอถือโอกาสนี้แนะนำแนวทางที่ควรดำเนินชีวิตในอนาคตต่อไป) ถ้าท่านผู้อ่านที่ไม่ได้เป็นนักศึกษาของกระผมเข้ามาอ่านก็ยินดีรับฟังข้อคิดเห็น ท่านอาจจะไม่เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นของกระผมก็ได้ โปรดเขียนในช่องความคิดเห็น มาบอกเล่ากันได้

ตามที่ผมได้ตั้งข้อสังเกตุว่า "เมื่อคุณงามความดีเป็นปฏิปักษ์กับเงินตราคุณว่าจริงหรือไม่" หรือความหมายอีกนัยหนึ่งว่า คนเราถ้าจะเลือกเอาความร่ำรวย มั่งมีศรีสุข ก็จงอย่าหวังว่าจะเป็นคนดีได้ 100% ผมมีเหตุผลของผมหลายประเด็นดังนี้

ด้วยสภาวะสังคมเศรษฐกิจทุนนิยมสามานย์ในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าใครมีเงินทองร่ำรวย มหาศาล เขาร่ำรวยมาจากสิ่งใด ถ้าเขาไม่ได้ร่ำรวยมาจากการเบียดเบียนผู้อื่น หรือไม่ก็ร่ำรวยมาจากการค้ากำไรเกินควร ไร้จริยธรรม หรือไม่ก็ร่ำรวยมาจากการออกกฏกติกาให้ตัวเองได้เปรียบ หรือไม่ก็มาจากผูกขาด หรือไม่ก็มาจากสัมปทานจากรัฐเพียงเจ้าเดียว หรือการอ้างเอาระบบทุนนิยม หรืออ้างประชาธิปไตย แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่มีพฤติกรรมเอาเปรียบผู้อื่นทั้งสิ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้เราเริ่มสังเกตุจากบุคคลรอบ ๆ ข้างของเรา ชุมชนใกล้เรา แล้วมองกว้าง ๆ ไปที่ทุก ๆ อย่างที่เรารับรู้ได้ ขอให้พวกเราใช้ความคิดให้รอบด้าน ที่ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ เริ่มจากภายในชุมชน มีพ่อค้าเงินกู้ พ่อค้าเงินกู้นอกระบบจะโฆษณาให้ไปใช้บริการ เช่นนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ไปจำนำ โดยคิดดอกเบี้ยแพงกว่ากฎหมายกำหนด ใครที่กู้เงินเขา ต้องทำงานหนักทั้งเดือนเพื่อจ่ายดอกเบี้ยให้พ่อค้าเงินกู้ อย่างนี้เขาเรียกว่าหากินกับคนยากจน ไม่ต้องทำมาหากินอะไรมีแต่รวยกับรวย ตัวอย่างต่อไปที่เห็นชัด ๆ นั่นคือ ร้านเกมคอมพิวเตอร์ ที่อ้างว่าบริการอินเทอร์เน็ตเพื่อให้เกิดความรู้ ความทันสมัย แต่ร้อยทั้งร้อยร้าน รายได้หลักมาจากการให้บริการหลอกเด็กให้เล่นเกม ผู้ปกครองหรือพ่อแม่เด็กต่างเดือดร้อนกับร้านเกมแบบนี้กันมาก ถ้าเจ้าของร้านมีความรับผิดชอบ มีคุณธรรมจริยธรรมคงไม่บริการเด็ก ๆ ให้เล่นเกมแต่จะสอนให้เด็กค้นหาความรู้จากอินเทอร์เน็ต และถ้าไม่บริการเด็กก็จะไม่รู้จะได้กำไรจากอะไร ผู้ปกครอง พ่อแม่ต่างก็ได้รับข่าวทางทีวี หรือหนังสือพิมพ์อยู่บ่อย ๆ ว่ามีการหลอกลวง เด็กเล่นแล้วต่างก็ติดงอมแงมถึงขั้นหนีเรียน ที่เป็นข่าวถึงขั้นเลียนแบบตัวละครในเกมที่ไปปล้นฆ่าแท็กซี่ที่ กทม. พ่อแม่ผู้ปกครองต่างก็หวังพึ่งให้รัฐบาลประกาศใช้กฏหมายกับเกมเหล่านี้ รวมทั้งจัดการกับร้านที่บริการเด็ก ๆ ด้วย แต่รัฐบาลไม่คิดแม้แต่จะดำเนินการใด ๆ (ขอตั้งข้อสงสัยว่า มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ในรัฐบาลนี้ด้วยกระมัง) นี่คือตัวอย่างของระบบทุนนิยมสามานย์ ที่ใครคิดจะทำอะไรก็ได้ ขอให้ร่ำรวยก็พอ สังคมจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันประไร

จะขอยกตัวอย่างในทางการเมืองบ้าง พวกเราจะเห็นกันชัดเจนแล้วว่า คนที่ตั้งใจจะทำความดีด้วย แต่ยังหวังว่าจะร่ำรวยล้นฟ้าด้วยนั้น ไม่สามารถอยู่ในประเทศได้ (แต่คนที่ซ้ายจัดเขาว่ากันว่า เป็นความดีที่ต้องการเสแสร้ง หลอกลวงให้ผู้คนหลงเชื่อมากกว่าจะเป็นคนดีจริง)ตอนนี้มีนักการเมืองอยู่ถึง 3 คน คนแรกเป็นนักการเมืองท้องถิ่นภาคตะวันออก อีกคนเป็นนักการเมืองปากน้ำ คนสุดท้ายเป็นอดีตผู้นำรัฐบาล ทั้ง 3 ต่างก็อยากเป็นคนดี (คนดีตามนิยามของเขา) และร่ำรวยด้วย ปกติการขยันทำมาหากินเพื่อให้ร่ำรวยนั้น ตามหลักศาสนาทุกศาสนาต่างก็สนับสนุนเห็นดีด้วย แต่ถ้าขยันแบบนั้นมันเหนื่อยและช้ากว่าจะร่ำรวยได้ อย่ากระนั้นเลย ควรหาทางร่ำรวยทางลัดดีกว่า คอรัปชั่นมันเลยดีกว่า มีคนรู้ทันก็ไม่เป็นไร หน้าด้านซะอย่าง แบบนั้นมันคลาสิก เหมาะสำหรับนักการเมืองโบราณ แต่คอรัปชั่นเชิงนโยบายนั้นสุดยอดกว่ารับประกันว่าคนที่รู้ทันนั้นต้องระดับปัญญาชน แถมหลอกพวกรากหญ้าได้ด้วย นี้คือวิธีคิดเอาเปรียบของนักการเมือง เอาเปรียบประชาชน ไร้คุณธรรม หาทางกอบโกยเอาเงินของประเทศชาติมาเป็นของตนเอง หลงยึดติดอยู่กับกิเลส เงินตรา อำนาจคำสรรเสริญเยินยอจากผู้ใกล้ชิดอันจอมปลอม

พวกเราเป็นนักเรียน นักศึกษา ผมอยากให้พวกเรารู้เท่าทันบุคคลประเภทนี้ และพึงหลีกเลี่ยงที่จะคบหา หรือเชิดชูคนเหล่านี้ และควรประนามออกมาจากใจโดยการพูด การเขียนให้เขาสำนึก และอยากฝากไปถึงนักศึกษาด้วยว่า เมื่อพวกเธอไปทำงาน หรือทำกิจการใดๆ ก็อย่าได้คิดเอาเปรียบผู้อื่นในทุกกรณี จงมีความสุขกับการได้อยู่อย่างพอเพียง จงมีความสุขเมื่อลูกค้าได้รับการบริการที่ดีจากเรา พึงระลึกเสมอว่า ความสุขอยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่เงินตรา อย่ายึดติดอยู่กับวัตถุนิยม อย่าหลงคำชม และที่สำคัญต้องมีสติเตือนจิตอยู่ทุกขณะว่า เราจะเป็นคนดี เราไม่มีสิทธิที่จะกระทำในสิ่งที่ไม่ดีตลอดชีวิต สติจงอยู่กับเจ้าตลอดไป สาธุ

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ขอขอบคุณ พี่น้องชาวราชภัฏสงขลาทุกท่าน ทุกเสียง






ผมกราบขอขอบพระคุณพี่ ๆ น้อง ๆ


ชาวราชภัฏสงขลาทุกท่าน


ทุกคะแนนเสียงที่ได้


จะเป็นกำลังใจให้กระผมได้ทำงาน


เพื่อให้มหาวิทยาลัยฯ เจริญรุดหน้าต่อไป


ขอบคุณครับ






..............

วันพุธที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

การเป็นผู้บริหาร

สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านชาวราชภัฏสงขลาทุกท่าน
สืบเนื่องจากในวันที่ 11 ก.ค.51 นี้เป็นวันหยั่งเสียงเพื่อสรรหาตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและงานทะเบียนของมหาวิทยาลัยฯ ผมเป็นคนแรกที่อาสาสมัครเข้าไปเพื่อทำหน้าที่นี้ ในใบสมัครเขาให้กรอกข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์เพียงกระดาษ เอ 4 เพียงแผ่นเดียว คงไม่สามารถบอกอะไรในความเป็นตัวของกระผมได้มากนัก วันนี้เลยถือโอกาสเอาบล็อกมาเขียนเพื่อให้ชาวราชภัฏรู้จักตัวตนของผมมากยิ่งขึ้น

ภูมิหลัง
ผมเกิดเป็นลูกชาวนาที่อำเภอหัวไทร จ.นครศรีธรรมราช มีพี่น้อง 9 คนผมเป็นคนที่ 4 ในวัยเด็กพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ผมเรียนชั้น ป.1 แม่ต้องเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้งหมดอย่างยากลำบาก ผมต้องช่วยทำงานตั้งแต่เล็ก ๆ ทั้งหาบข้าว เลี้ยงวัว สารพัดอย่างที่ทำได้เพื่อที่จะได้เรียนหนังสือ กลางคืนหากุ้งในคลอง ภาษาบ้านเราเรียกว่า "ราวกุ้ง" ด้วยผลการเรียนออกมาดี ในลำดับต้น ๆ แม่จึงยอมให้เรียนหนังสือได้ ในขณะที่พี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่นต้องหยุดเรียน ในช่วง ป.5-6 ต้องไปเป็นเด็กวัดศาลาแก้วซึ่งอยู่ใกล้กับโรงเรียนอาศัยข้าวก้นบาตรกิน แต่การได้อาศัยอยู่วัดมันทำให้ผมได้สิ่งดี ๆ มากมายติดตัวผมจนปัจจุบันนี้ ในเรื่องจิตใจที่สงบร่มเย็น ไม่ใจร้อน มองคนในแง่ดีและได้สิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย บทสวดมนต์ต่าง ๆ ก็ท่องได้หมด สามารถนั่งสมาธิที่ใช้ระยะเวลาอันสั้น ก็สามารถทำให้จิตสงบได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ตอนเรียนระดับมัธยม ได้เรียนที่ ร.ร.หัวไทรบำรุงราษฎร์ เป็น ร.ร.ประจำอำเภอ ต้องตื่นแต่เช้านั่งเรือจากบ้านไปตัวอำเภอ จากตลาดไปยังโรงเรียนระยะทางเกือบ 2 กม.ผมต้องเดินไปกลับทุกวัน ไม่เคยได้ขี่รถโดยสาร หรือมอเตอร์ไซต์รับจ้างเลย เพราะต้องการประหยัดเงินให้แม่นั่นเอง พี่น้องชาวราชภัฏมักจะเห็นว่าผมยังใช้วิธีการเดินไปมาระหว่างอาคารในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่อาคาร 10 ไปอาคาร 2 อยู่เสมอก็ด้วยเหตุนี้กระมังครับ

ระดับมัธยมปลายผมหันไปเรียนด้านช่างไฟฟ้าที่วิทยาลัยเทคนิคระนอง ด้วยคิดว่าจบแล้วจะได้มีงานทำ ตอนปิดเทอมต้องรับจ้างทำงานก่อสร้าง เป็นช่างผูกเหล็กและช่างเดินท่อไฟฟ้าในอาคาร เมื่อมาเป็นกรรมการตรวจการจ้างในมหาวิทยาลัยฯจึงคุยกับผู้คุมงานได้รู้เรื่องเข้าใจตรงกัน บริษัทใดทำงานดีมีฝีมือหรือไม่มี ผมสามารถดูเป็น เมื่อจบปี 3 (ปี 2527) ผมมาสอบบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่งช่างไฟฟ้าระดับ 1 ที่คณะแพทย์ มอ.หาดใหญ่ได้ทันทีทั้งที่มีคู่แข่งหลายคน ผมทำงานตั้งแต่อายุ 19 ปีเท่ากับนักศึกษาปี 1 ในปัจจุบัน ผมต้องรับผิดชอบงานไฟฟ้าของโรงพยาบาลตั้งแต่หลอดไฟธรรมดา ถึงไฟฟ้าแรงสูง (ช่างไฟฟ้าของ มอ.ต้องสับฟิวส์แรงสูงเอง) และเครื่องมือต่าง ๆ เช่นเครื่องมือแพทย์ที่มีราคาแพง ๆ ลิฟต์โดยสารจำนวน 16 ตัว ทำให้ผมสนใจด้านอิเลคทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ไปด้วย ผมสามารถดัดแปลงเอาเครื่องล้างฆ่าเชื้อวัสดุการแพทย์ที่เสียแล้วและบริษัทไม่รับซ่อมแล้วพร้องแทงจำหน่ายแล้ว มาเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมให้มันฟื้นคืนชีพทำงานได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้ จนหัวหน้างานคนหนึ่งเคยพูดให้ได้ยินต่อหน้าว่า "เก่งกว่าวิศวกรซะอีก"

ในปี 2533 ได้เข้ามาศึกษาในสถาบันราชภัฏสงขลา สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในวันเสาร์อาทิตย์ (กศ.บป.) ผมเรียนด้วยทำงานไปด้วยไปจบเอาในปี 2540 ใช้ระยะเวลาเรียนประมาณ 6 ปีกว่า ๆ เป็นรุ่นแรกและรุ่นเดียวของสาขานี้ มีอาจารย์หลายท่านที่สอนผม ตั้งแต่ อ.สมเดช รศ.ยาใจ ผศ.กัลยา อ.มีพร ศ.อำนวย ผศ.สัญญา ผศ.รัตนาและอีกหลายท่านที่ยังไม่ได้กล่าวนาม จะเห็นว่าผมสามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้อย่างสบาย ผมได้เกรดสูงเป็นลำดับที่2 (ลำดับที่ 1 จบ ดร.แล้ว)

เมื่อจบการศึกษาแล้ว ช่วงกลางปีมีการรับสมัครอาจารย์ จึงมาสมัครสอบแข่งขันเพื่อโอนมาเป็นอาจารย์ สมัครสอบเข้าตามขั้นตอนและได้รับการคัดเลือก ทั้งที่เป็นม้านอกสายตา จึงได้เข้ามาสอนในปลายปี 2540 จนถึงปัจจุบัน ต่อมาในปี 43 ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี แล้วกลับมาเป็น ผอ.ศูนย์คอมพิวเตอร์ จากการชักชวนของ ผศ.ประสิทธิ์ สังขมณีและต่อด้วย ผศ.สุรชัย จนถึงปัจจุบัน

การทำงานในศูนย์คอมพิวเตอร์
เนื่องจากผมสนใจและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องการพัฒนาระบบสารสนเทศ และระบบฐานข้อมูล จึงได้พัฒนาระบบงานบริหารงานบุคคลให้มหาวิทยาลัยใช้ และระบบงานสารบรรณอิเลคทรอนิกส์ให้กับธุรการใช้ โดยทั้งสองระบบไม่เคยคิดถึงรายได้จากการทำงานแม้แต่บาทเดียว (ผมเขียนโปรแกรมมาก่อนที่จะดำรงตำแหน่ง จำนวนบรรทัดที่เขียนเกินหนึ่งแสนบรรทัดใช้เวลามากกว่า 4 ปี เขียนตอนกลางคืน) ผมไม่มีเงินตอบแทนเลย เพราะไม่หวังว่าจะได้สิ่งตอบแทนจากมหาวิทยาลัยจากช่องทางใด ๆ ซึ่งถ้าเป็นมหาวิทยาลัยอื่นๆ หรือคนอื่นเขาจะเขียนเป็นงานวิจัย ซึ่งจะได้ทั้งเงินและเอาไปเป็นผลงานเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการได้ด้วย แต่ปรัชญาการทำงานของผมนั้นถูกปลูกฝังตอนเป็นเด็กวัดแล้วว่า "เงินไม่ใช่สรณะ เงินไม่ใช่ความสุข" แต่สรณะที่แท้จริงของผมคือ การไม่มีทุกข์ และการหมดทุกข์ นั่นคือความสุข (และระวังตัวอยู่เสมอว่า การมีหนี้สินเป็นความทุกข์ ผมจึงไม่มีหนี้สินใด ๆ)

หัวใจของนักบริหาร

การเป็นนักบริหารตามความเห็นของกระผมนั้น จะต้องมีสิ่งหนึ่งที่เขาพูดกันฮิตนั่นคือ การมีจิตเป็นสาธารณะ นั่นคือบุคคล ๆ นั่นจะต้องมองเห็นประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นอันดับหนึ่ง ต้องช่วยเหลือสังคมตามความเหมาะสม สำหรับกระผมแล้ว เมื่อนักศึกษาจัดกิจกรรมออกค่ายครั้งใด ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องไปร่วมงานเข้าค่ายกิจกรรมกับนักศึกษา โดยไม่ต้องรีรอ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ค่าน้ำมันรถเอง

ผมเป็นสมาชิกชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ (A rh-) ซึ่งจากภาพมุมบนขวามือ ที่นอนให้เลือดด้วยเครื่องเพื่อสกัดเอาพลาสม่าไปใช้กับผู้ป่วย ผมบริจาคมาแล้วทั้งสิ้น 18 ครั้ง ทุกครั้งที่บริจาค จะเกิดจากโรงพยาบาลโทรศัพท์มาตามตัวเจาะจงมาที่กระผมทั้งสิ้น ผมถือว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อเสียงเรียงนามของผู้รับ เป็นบุญกุศลสำหรับผู้ให้ นอกจากนี้ผมยังทำหน้าที่เป็นกรรมการฝ่ายทะเบียนของชมรม ได้ทำเว็บฐานข้อมูลชมรมอยู่ที่ http://202.29.16.20/blood/ เป็นโปรแกรมที่ต้องเขียนให้ฟรี ๆ อีกแล้วครับ

ผมเป็นคนทำบุญกับวัดหรือการกุศลต่าง ๆ อยู่เป็นนิจ เรื่องนี้ถามพี่แดงคนงานคณะวิทย์ได้ แต่ผมไม่ให้ทานกับขอทานบนสะพานลอย ซึ่งผมมีความเห็นว่าการให้ทานแบบนั้นเป็นการส่งเสริมให้มีการค้ามนุษย์เกิดขึ้น

ผู้บริหารจะต้องมีความโปร่งใส ไม่ทุจริต ไม่คอรัปชั่น
เนื่องจากผมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการฝ่ายจัดซื้อจัดจ้าง ประกวดราคาบ้าง ผมเองไม่เคยหาผลประโยชน์จากสิ่งที่ไม่ควรจะได้ทั้งปวง แม้ตอนที่บริษัทมาเสนอเงื่อนไขต่าง ๆ ก็ไม่เคยใจอ่อน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างตรงไปตรงมา นอกจากนี้ผมยังประหยัดเงินงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในด้านต่าง ๆ อีก เช่น การไปราชการที่กรุงเทพ ปกติผมมีสิทธิ์เบิกค่ารถโดยสารชั้นวีไอพี หรือรถไฟได้ แต่ผมนั่งรถทัวร์ธรรมดา ก็เบิกธรรมดา แม้แต่รถแท็กซี่ใน กทม.ก็ไม่เคยเบิกเงินถึง 200 บาทตามกำหนดสูงสุดของระเบียบ เรื่องนี้ให้ถามพี่ประคอง ฝ่ายการเงินได้

การเป็นผู้บริหารต้องมั่นใจในตนเอง เชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนหนึ่งคนใด แต่ต้องยืดหยุ่น อารมณ์นิ่งสงบเมื่อเจอปัญหา ยิ่มแย้มเมื่อเจอผู้มาติดต่อ ในเรื่องมั่นใจในสิ่งที่ถูกต้อง ผมจะมั่นใจในสิ่งที่จะกระทำ เช่น ไม่ดื่มสุราแม้เพื่อนชวน แต่ร่วมวงกับเพื่อนได้ ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ตามกระแสค่านิยมที่ผิด ๆ ผมจะแก้ปัญหาที่ตนเองซึ่งจะง่ายกว่าให้คนอื่นมาแก้ปัญหาให้เรา เช่น ผมจะไม่รอให้รัฐบาลมาช่วยเหลือลดราคาน้ำมันให้ แต่ผมจะแก้ด้วยการปั่นจักรยานมาทำงาน แม้ว่าบางคนอาจไม่เห็นด้วย แต่ผมก็ได้ศึกษาหาข้อมูลมาแล้วว่า ปลอดภัยจึงกล้าตัดสินใจทำลงไป

การเป็นผู้บริหารต้องมีความรู้ในสาขาที่จะทำมาเป็นอย่างดี จะได้ตัดสินใจได้ถูกต้อง ปัจจุบันการบริหารการจัดการทุกอย่างต้องใช้ไอทีเข้ามาช่วย ให้งานเสร็จอย่างรวดเร็ว ลดการใช้แรงงานคน และถูกต้องมากยิ่งขึ้น เช่น การส่งเกรดทางอินเทอร์เน็ตของงานทะเบียน จะลดคนคอยตรวจทานการบวกคะแนน การคิดเกรด ลงได้หลายคน รวมทั้งลดงานฝ่ายทะเบียนที่ต้องมาบันทึกเข้าสู่คอมพิวเตอร์ด้วย

ในอนาคตที่กำลังให้นักศึกษาคอมพิวเตอร์ช่วยทำนั่นคือ การส่งข้อสอบ การเบิกข้อสอบ และคืนข้อสอบจะใช้ระบบบาร์โค้ตที่กระดาษซองข้อสอบเพื่อลดภาระงานอาจารย์ฝ่ายต่าง ๆ ได้ เพื่อที่จะให้อาจารย์ไปทำงานอย่างอื่นที่เหมาะสมกว่า
ลืมบอกไปว่า กระดาษที่ปะติดหน้าซองข้อสอบเป็นข้อเสนอของกระผมเอง ไปยัง ผอ.พิพัฒน์ ท่านก็เข้าใจสั่งการให้โปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมให้ ทำให้สะดวกมากยิ่งขึ้น ปกติผมต้องหาเอกสารว่าวิชานี้สอบห้องไหน เวลาใด ฯลฯ ใช้เวลาครึ่งวันสำหรับทำซองข้อสอบ 4-5 ซองแต่ปัจจุบันลดเวลาได้เยอะมาก ๆ การเขียนโปรแกรมอาจใช้เวลานานแต่เมื่อเสร็จแล้ว ผู้ใช้คลิกเพียงปุ่มเดียวมันจะสร้างกระดาษปะหน้าซองมาให้อาจารย์ทุกคนทุกวิชาครับ เห็นไหมละครับว่าถ้ามีความรู้ มีวิสัยทัศน์ ก็สามารถจะใช้ให้มันเกิดประโยชน์ได้แน่นอน

มองไปในอนาคต

ผมเคยได้เข้าร่วมเข้าฟังการปาถกฐาของเลขาธิการ สกอ.ที่กล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยไทย ในอนาคตจะต้องแข่งขันกันมากยิ่งขึ้น สถาบันการศึกษาต้องพัฒนาตัว โดยเฉพาะระดับอุดมศึกษามีเพิ่มมากขึ้น วิทยาลัยเทคนิคสามารถเปิดสอนในระดับปริญญาตรีได้ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ต่างก็แข่งขันกันรับนักศึกษา ในขณะที่นักศึกษาน้อยลง แน่นอนว่าสถาบันเก่าจะต้องปรับปรุงคุณภาพทั้งการเรียนการสอน อาคารสถานที่ให้น่าเรียน อาคารเรียนสะอาด อาจารย์สอนอย่างมีคุณภาพ ใช้ไอทีเข้ามาสอน สอนอะไรที่ใหม่ ๆ ทันโลกทันเหตุการณ์ นักเรียน นักศึกษาอยากจะเรียน ปัญหาและความต้องการเหล่านี้ ผมคิดว่าเราจะต้องพัฒนาให้ไปในแนวทางที่ต้องการได้ ถ้าเราตั้งข้อสมมุติฐานว่าเราจะผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพ แล้วให้นิยามคำว่า คุณภาพว่า

เหนือความคาดหมาย

นี้คือความคิด ความตั้งใจของผมที่จะทำ

กิจกรรมต่าง ๆ จะมีดังนี้ การให้การอบรมพัฒนาอาจารย์ พัฒนาหลักสูตร การปรับปรุงวัสดุหรือสื่อการสอนให้ทันสมัย พร้อมใช้ตลอดเวลา ห้องเรียนต้องสะอาด


ที่เขียนมายืดยาวก็เพราะจะบอกว่าผมอาสาเข้ามาทำงานที่สำนักส่งเสริมฯ ตามที่คิดหวังว่าจะมาพัฒนาให้มหาวิทยาลัยฯ มีความก้าวหน้า อำนวยความสะดวกให้แก่อาจารย์และนักศึกษา คุณสมบัติต่าง ๆ ของผมมีพร้อม ผมทำงานหนักมาตลอดชีวิต เพราะเป็นลูกชาวนา เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ผมปั่นจักรยานออกจากบ้านตั้งแต่ 6 โมงถึงราชภัฏ 7 โมงกว่า ๆ มาทำงานต่ออย่างไม่เหน็ดเหนื่อย กลับบ้านหลัง 5 โมงทุกวัน

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ทุกท่านมอบความไว้วางใจให้กระผมได้ทำงาน ขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี่

นี่คือลิงค์ภาพถ่ายบอกตัวตนของผมได้ดียิ่งขึ้น ใครอยากมีบล็อกแบบนี้ อยากอับโหลดภาพแบบนี้เป็นของตนเอง แสดงความจำนงให้ผมจัดอบรมให้ก็ได้ครับ 3 ชั่วโมงทำเป็นครับ



วันพุธที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑

น้ำเอย น้ำมัน

       สวัสดีครับ พี่น้องชาวไทย  หลังจากห่างหายไปนานหลายเดือน ผมไม่ได้เขียนบล็อกเลย แทบจะไม่ได้เข้ามาเขียนหรือเข้ามาอ่านของใคร ๆ เลย  ด้วยเหตุผลหลายประการ ตั้งแต่สภาวะทางการเมือง  เศรษฐกิจ  การเรียนและอื่น ๆ ผมแทบจะไม่มีความสุนทรีย์ในอารมณ์  ในการเขียนเลย   แต่มาเมื่อวานนี้ (10 มิ.ย. 51) ได้ดูข่าวการขึ้นราคาน้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีกนับ 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็น 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นการขึ้นราคาที่พุ่งอย่างงวบงาบ  เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีตจะขึ้นเพียงครั้งละ 1-3 ดอลลาร์ และลดลงบ้างแต่ในปัจจุบันมีแต่ขึ้น  วันละ 1-3 ดอลลาร์ แต่ไม่ลดลงเลย และทุก ๆ วัน บริษัทน้ำมันก็ขึ้นราคาวันละ 50-80 สตางค์ต่อลิตร คนเราก็เติมกันได้ทุกวัน  มีบ่นกันบ้างแต่ก็จำเป็นต้องเติม ไม่มีทางออก มีธุรกิจขนส่งเริ่มประท้วง กลุ่มเกษตรกร ประมงประท้วง  ต่างก็หวังให้รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยา 

  พี่น้องชาวไทยที่รักครับ  ผมต่อให้รัฐบาลไหน ๆ ก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่ากลไกทางการตลาดมันเป็นไปตามดีมานด์และซัพพลาย เมื่อผู้ผลิตมีน้อย ผู้บริโภคมีมากกว่า การกำหนดราคาย่อมขึ้นอยู่กับผู้ผลิต และมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง ได้แก่ การเก็งกำไรของธุรกิจในตลาดผู้ซื้อขาย การอ่อนของเงินสกุลดอลลาร์ที่เกิดจากหนี้อสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของอเมริกาเอง นักเก็งกำไรก็เป็นอเมริกัน 

   ถ้าจะให้ราคานำ้มันลดลงทั่วโลก ตามความเห็นของผมนั้นมีหลายวิธีที่จะเสนอแนะ ดังนี้
  1. รัฐบาลทุกประเทศประกาศนโยบายร่วมกันจะสนับสนุนการผลิตเครื่องยนต์ทีไม่ใช้น้ำมัน อาจเป็นไฟฟ้า หรือไนโตรเจนเหลว หรืออื่น ๆ การประกาศร่วมกันเพื่อเป็นจิตวิทยาบอกไปยังโอเปคว่าทั่วโลกรับไม่ได้กับราคานี้
  2. ในมาตรการระยะสั้น ประชาชนต้องร่วมมือร่วมใจกันลด ละ เลิก ใช้นำ้มัน หรือใช้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น โดยเฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคล ให้หันมาใช้รถสาธารณะให้มากขึ้น ถ้าระยะใกล้ ๆ ให้เดินหรือใช้จักรยาน 
  3. การขึ้นราคาน้ำมันแบบเดิม ๆ ที่ขึ้นทีละ 50-80 สตางค์นั้นไม่ดี ไม่เหมาะสม เพราะด้วยจิตวิทยาของผู้ใช้รถมักจะคิดว่าขึ้นไม่เท่าไหร่ ปรับตัวได้และค่อย ๆ ปรับ แต่ถ้าขึ้นทีละ 3-5 บาทต่อลิตรหลาย ๆ คนคงคิดหนักขึ้น  อย่างเช่นประเทศมาเลเซีย เขาอั้นราคาพยุงเอาไว้ แล้วอั้นไม่ไหวประกาศขึ้นราคาทีเดียว 41 เปอร์เซนต์  ประชาชนตะลึงงงงันกับรัฐบาลมีการประท้วงกันบ้าง แต่ต้องจำใจ เพราะทั่วโลกเขาต่างก็ใช้น้ำมันแพง  ประชาชนเขาต้องใช้จ่ายประหยัดเอาเอง แบบนี้อยากให้ใช้กับเมืองไทยบ้าง
  4. รัฐบาลไทยต้องประกาศนโยบายด้านพลังงานทันที เช่น จากนี้ไปไทยจะผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์  ส่งเสริมพลังงานทดแทน  พลังงานลม พลังงานจากแสงอาทิตย์ โดยไม่เก็บภาษีนำเข้า และส่งเสริมให้ผลิตในประเทศไทย  นอกจากนี้จะเน้น สนับสนุนให้มีรถสาธารณะที่มีการบริการดี ๆ มีการแข่งขัน มีที่นั้งในชั่วโมงเร่งด่วน  เก็บภาษีผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัวที่นั่งเพียงคนเดียวให้มากขึ้น
ในระยะช่วงสองปีมานี้ผมใช้รถทัวร์ปรับอากาศชั้นสองของ บขส. เพื่อไปเพชรบุรีในทุก ๆ วันเสาร์และกลับในวันอาทิตย์ ในตอนแรกรถบขส. มีผู้โดยสารไม่ถึงครึ่งหนึ่ง จะเลือกนั่งตรงที่นั่ง ๆ ใด ๆ ก็ได้ตามสะดวก แต่มาระยะหลัง บริษัทเอกชนขอขึ้นราคา คนหันมาใช้บริการของบขส. กันมากขึ้นจนเกือบเต็มคันรถ บางทีต้องไปจองตั้งแต่ตอนเที่ยง ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ไป เพราะ บขส.ประกาศไม่ขึ้นราคา ในขณะนั้น 

ผมสังเกตุว่าในตอนนี้ผู้ใช้รถสาธารณะมีมากขึ้น  ธุรกิจขนส่งยังอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องปรับราคา เพราะผู้ใช้เต็มคันรถ ไม่ว่าจะเป็นรถสองแถว หรือรถเมล์ระหว่างอำเภอหรือจังหวัด  เมื่อถัวเฉลี่ยแล้วพออยู่ได้ก็สมควรยืนราคาเดิม  แต่เมื่อขึ้นราคาค่าโดยสารตามความต้องการ เช่นจากเดิม รถสองแถวรอบเมืองจาก 10 บาทเป็น 15 บาท กลุ่มผู้โดยสารที่มีรถส่วนตัวจะคำนวณว่าเมื่อใช้รถส่วนตัวไปนั้นราคาไม่ต่างกัน เขาจะไม่ยอมใช้บริการรถสาธารณะ   เหล่านี้เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ค่อย ๆ เป็นค่อยไป 

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผมแล้ว ความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อปรับตัวรับกับราคาน้ำมันของผมนั้น  ผมปรับเปลี่ยนตั้งแต่ราคาน้ำมันลิตรละ 18 บาท เมื่อ 3 ปีที่แล้วโน่น   เริ่มแรกผมต้องขับรถยนต์ส่วนตัวมาทำงานทุกวัน วันละ 25 กม. ไปกลับเป็น 50 กม. ผมคิดจะใช้บริการรถเมล์กับรถสองแถว ค่ารถสองแถว 10 บาท รถเมล์อีก 18 บาท รวม 28 ไปกลับรวม 56 บาท  ทดลองใช้บริการอยู่ 2-3 วัน รถเมล์ต้องขึ้นระหว่างทางซึ่งมีผู้โดยสารเต็มตลอด ไม่ได้นั่งเลย ต้องยืนและเบียดเสียดเยียดยัดยิ่งกว่าปลากระป๋อง แต่ช่วงระยะเวลาที่คอยคันต่อไปนั้นนานมากและเต็มอีกแล้ว เลยทำได้เพียงวันสองวันไม่เอาอีกแล้ว  ทีนี้จะลองหันมาใช้บริการรถตู้ เช่นเดิมอีกคือเต็มมาตั้งแต่ในเมืองแล้ว ผมขึ้นกลางทางไม่มีโอกาส  ตามจริงเขาน่าจะแก้ไขให้ปล่อยรถเร็วขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน ก็จะแก้ปัญหาได้ แต่ขนส่งไม่ยอมจัดการ เพราะมีบริษัทเจ้าเดียวไม่มีการแข่งขันกันบริการก็เป็นแบบนี้แหละ

หลังจากนั้นมีโอกาสได้เข้ามาศึกษาการใช้จักรยานจากเว็บของ www.thaimtb.com ทำให้ทราบว่าจักรยานดี ๆ สามารถปั่นทางไกลได้ โดยไม่เหน็ดเหนื่อยและมีคนที่ใช้จักรยานปั่นไปทำงานตั้งแต่หนุ่มจนเกษียณ ที่อยู่กทม. ก็ทำให้อยากลองดูบ้าง จึงไปซื้อ จักรยานเสือภูเขามา 8000 บาทพร้อมอุปกรณ์อื่น ๆ อีกประมาณ 2000 บาท ลองปั่นในเขตใกล้ ๆ บ้านดู โอเคเลย เหมาะมาก ลงตัว เปอร์เฟ็ค 100 เปอร์เซ็นต์ ได้ออกกำลังกายด้วย แถมไม่ต้องใช้น้ำมันเลย ปัจจุบันนี้ปั่นมาขึ้นปีที่ 3 แล้ว ได้ระยะทางรวมประมาณหนึ่งหมื่นกว่ากิโลเมตรแล้ว  ถ้าใครยังกล้า ๆ กลัว ๆ อยู่อยากแนะนำให้มาใช้การเดินทางด้วยจักรยานแบบผมครับ
และนี่คือลิงค์รูปถ่ายแนะนำการใช้จักรยานของผมครับ

วันพุธที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑

การเมือง เป็นเรื่องของคนทุกคน

ขึ้นประเด็นหัวข้อเรื่องนี้แล้ว ผู้อ่านบางท่าน อาจจะปิดเว็บนี้ หรือลิ้งค์ไปที่อื่นเสีย ไม่อยากยุ่งกับเรื่องน้ำเน่า เรื่องของอำนาจ บารมี ศักดิ์ศรี เรื่องของภาคนิยม เรื่องของพรรคในดวงใจข้าฯ ใครอย่ามาวิจารณ์ ฯลฯ และที่สำคัญคือ ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเขียนการเมืองให้อ่าน ดู ๆ เราก็ไม่เคยพูดคุยคอการเมืองกับใคร มาวันนี้นึกอย่างไรมาเขียนเรื่องนี้

ในอดีตตอนผมเรียนหนังสือระดับปริญญาตรี ได้ลงเรียนวิชา การเมืองการปกครอง มีอาจารย์บรรยายให้ฟังว่า "การเมืองเป็นเรื่องของกลุ่มผลประโยชน์ ที่จะเฝ้าระวังปกป้องไม่ให้กลุ่มของพวกตนสูญเสียผลประโยชน์ไป" ในตอนนั้นอยากจะเถียงอาจารย์ว่าคงไม่จริง อย่ามองการเมืองในเชิงลบเกินไป คงจะมีคนดีที่เห็นแก่ประเทศชาติคงจะมีอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย แต่เมื่อมาทบทวนอีกที ที่อาจารย์พูดถูกต้องทีเดียว เพราะว่าไม่ว่าใครมาทำหน้าที่เป็นรัฐบาล บุคคลกลุ่มนั้นจะเข้ามาตักตวงเอาผลประโยชน์ไปให้กลุ่มของตนเอง ถึงแม้ว่าไม่ได้เป็นนักการเมืองก็เช่นเดียวกัน เช่น เป็นหัวหน้าฝ่าย หัวหน้าแผนก ผู้อำนวยการ คณบดี อธิการบดี ฯลฯ แม้แต่นักกฏหมายก็ไม่เว้น ซึ่งเราต้องกล่าวถึงรายละเอียดของการนิยามของคำว่า"กลุ่ม" เสียก่อน ยกตัวอย่างเช่น พรรคการเมืองหนึ่งมีบรรพบุรุษ พื้นฐานมีอาชีพเป็นเกษตกร เมื่อได้บริหารประเทศ จะมีนโยบายหรือออกกฏหมายให้สินค้าเกษตรมีราคาสูง มีการช่วยเหลือเกษตรกรในด้านการประกันราคาพืชผล อาจจะมีนโยบายกีดกันพ่อค้าคนกลาง อย่างนี้แสดงว่าเอื้อให้ผลประโยชน์ต่อกลุ่มของตน กีดกันผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของตนเอง ในทางกลับกันถ้ารัฐบาลที่มาจากกลุ่มพ่อค้า นโยบายหรือกฎหมายต่างๆ จะออกมาสนองต่อกลุ่มของตนเอง เช่น การขายรัฐวิสาหกิจที่มีผลกำไรดี ให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วออกกฏให้กลุ่มพวกตนมีสิทธิซื้อหุ้นในราคาพาร์ ในจำนวนที่มาก ๆ ออกกฏว่าเมื่อขายได้กำไรไม่ต้องเสียภาษี อย่างนี้เป็นต้น นี่คือหลักการของการเมือง

ทีนี่มาว่ากันถึงเรื่องกลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่ใช่การเมืองบ้าง เช่น ข้าราชการหรือผู้ที่ทำงานในส่วนของราชการรัฐวิสาหกิจ เมื่อมีโอกาสร่างระเบียบหรือออกกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ก็ไม่แพ้การเมืองเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้าง เมื่อเกษียณอายุจะไม่มีสิทธิ์รับเงินบำนาญ การเซ็นชื่อทำงานต้องเซ็นตอนเช้าและเย็น ส่วนข้าราชการเซ็นเช้าอย่างเดียว หรือบางหน่วยงานเซ็นสัปดาห์หรือเดือนละครั้ง เป็นต้น ทายซิว่าใครเป็นผู้เขียนกฏ ร่างกฏนี้ขึ้นมา

เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าใครจะมาบริหารประเทศ หรือบริหารองค์กร พวกเขาเหล่านั้นจะมองไปที่กลุ่มของตนเองก่อนเสมอ เพราะฉะนั้นการนิยาม "คนดี" ของ กกต. หรือของใคร ๆ จะให้นิยามแตกต่างกัน ถ้าถามชาวบ้านว่าคนดีที่เขาเลือกเป็นเช่นไร เขาอาจตอบว่า 'ตอนงานบวชลูกชาย มี "คนดี" มาช่วยงานให้เหล้า 1 ลัง' ก็ได้ บางคนนิยาม"คนดี" คือคนมีเงิน มีฐานะร่ำรวย มีนโยบายถูกใจชาวบ้านเหลือเกิน อันนี้เขาก็นิยามเป็นคนดีเสียแล้ว ความจริงตามหลักศาสนาหรือหลักของความจริงมีการกำหนดคุณลักษณะของคนดีเอาไว้แล้ว แต่ กกต. ไม่ยอมเอามาบอก หรือว่ากกต.ก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน(ฮา) เอาไว้คราวต่อไปจะมาเขียนคุณลักษณะของคนดีมาให้อ่านกันครับ

เราจะเลือกคนดีอย่างไร คนดีในลักษณะการเมือง "ควรเป็นตัวแทนของคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ" ควรรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ ประเทศไทยมีกลุ่มคนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร และรับจ้าง จึงสมควรเลือกตัวแทนของคนที่จะมาดูแลผลประโยชน์ให้กับคนเหล่านี้ ตามสภาพที่เป็นไปได้

ถ้าในครั้งนี้เราได้รัฐบาลเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ มารักษาผลประโยชน์ให้ใครก็ไม่รู้ แล้วเราจะมีวิธีการจะจัดการ อย่างไร? มีบางคนเสนอแนะในบล็อก บล็อกหนึ่งว่า จะหาวิธีการที่จะไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีให้น้อยที่สุด โดยการคำนวณว่าปีนี้จะเสียภาษีเท่าไร ให้นำเงินเหล่านั้นไปบริจาคซื้อวัสดุ ครุภัณฑ์ให้แก่ โรงเรียน แล้วนำใบเสร็จไปหักลดหย่อนภาษีให้หมด วิธีนี้เหมาะสำหรับบุคคลหรือองค์กรที่เสียภาษีมาก ๆ ซึ่งเหมือนๆ กับการเสียภาษีให้กับรัฐแต่ไม่ต้องให้รัฐไปใช้จ่ายในเรื่องที่ตนเองไม่เห็นด้วย (ไม่รู้มันเอาเข้ากระเป๋าใครบ้าง) ซึ่งถือเป็นการนำเงินของเราไปบริหารประเทศซะเอง วิธีนี้ก็เป็นทางออกที่ดี เหมาะกับคอการเมืองมาก ๆ

ถ้าเราบอกว่าไม่พอใจ สส. หรือคณะรัฐบาลปัจจุบันจะทำอย่างไร ผมมีข้อเสนอแนะดังนี้
  1. เขียนบล็อกบอกคนทั่วไปว่า เราไม่ชอบรัฐบาลนี้ ข้อนี้อย่าได้นิ่งเฉย แม้ไม่เกิดผล แต่เป็น feedback อย่างหนึ่งให้เขารู้ แต่ถ้าเขาทำดี เราจงแสดงความขอบคุณและให้กำลังใจเขาด้วย
  2. พูดคุยกับคนรอบข้างว่า เราไม่ชอบรัฐบาลนี้ด้วยเหตุผลใด
  3. เมื่อถึงขีดระดับความไม่พอใจเพิ่มขึ้น จงรวมกลุ่มกันแสดงความเห็น(บางคนเรียกว่าประท้วง) ว่าเราไม่เห็นด้วยนะ เลือกตั้งครั้งต่อไปจะต่อต้านเต็มที่
  4. เดินขบวณปลุกระดมให้พ่อแม่พี่น้องร่วมชะตากรรมเดียวกัน ให้ลุกฮือกันทั่วประเทศ
  5. ในการเลือกตั้งคราวหน้า ถ้าท่านคิดว่าท่านดีกว่าคนเก่า อย่าได้รีรอ รีบสมัครเข้าสังกัดพรรคการเมือง ลงสนามแข่งให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

อันตัวกระผมเองเริ่มที่จะทนพฤติกรรมของนักการเมืองกับการย้ายข้าราชการชั้นสูงในขณะนี้ไม่ไหวแล้วเช่นกัน เพราะผมถือข้าราชการเป็นกลุ่มพวกพ้องเดียวกันกับผม การย้ายแต่ละคนก็ให้เหตุผลการย้ายที่ฟังไม่ขึ้น โกหก ไม่ละอายต่อบาป อยากบอกไปยังบุคคลทั่วไปว่า เราไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลชุดนี้ และขอสาปแช่งให้ผลการกระทำของเขาเหล่านั้น ให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าเขาทำโดยบริสุทธิ์ใจ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประชาชน และประเทศชาติก็ขอให้รับผลดีนั้น ๆ ด้วยเทอญ ขอเจริญพร สาธุ

วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑

สอนเขียน Java Swing ด้วย Netbeans

ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อต้องการพัฒนาการเขียนโปรแกรม Java ให้ได้จึงขอเริ่มจาก tuturial ง่าย ๆ จาก youtube มาฝากผู้สนใจครับ ขอให้สนุกกับภาษาจาวา


วันพฤหัสบดีที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑

แนะนำการนำวิดีโอจาก Youtube มาใส่ใน Blog ของเรา

โดยทั่วไปแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย ๆ ของผู้ใช้เว็บทั่วไป แต่สำหรับ นศ.น้องใหม่ที่ผมสอนอาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา วันนี้เลยขอแนะนำการนำสื่อจาก Youtube มาใส่ในบล็อกของเรา

  • เริ่มจาก ไปเว็บ www.youtube.com
  • ที่ช่อง text field ให้ป้อนคำค้น อาจเป็นชื่อเพลง หรือศิลปินที่ต้องการ กด Search
  • เลือกเพลงที่แสดงตามต้องการ
  • ที่ช่อง embed ให้ copy คำสั่ง html ทั้งหมดในช่องนั้น
  • นำมา paste ในช่องเขียนบทความที่ blog ของตนเอง แต่ต้องเลือกที่แท็บ "แก้ไข Html" เท่านั้น
  • คลิก เผยแพร่บทความได้เลย

ขอให้สนุกกับการทำ บล็อกนะครับ

วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑

Data mining ตอนที่ 2 (CRISP-DM Model)

ในตอนที่แล้วได้กล่าวถึง data mining เบื้องต้นเอาไว้ ในครั้งนี้จะได้เขียนถึง CRISP-DM Model เป็นอะไร ใช้ทำอะไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับ data mining

CRISP-DM ( http://www.crisp-dm.org/) เป็นเครื่องมือของการทำ data mining model ซึ่งเป็นของฟรี จากกลุ่มที่ทำ data mining ด้วยกัน เขาบอกว่า ใครใช้โมเดลของเขาทำตามที่เขาแนะนำ จะมีความถูกต้องกว่า เร็วกว่า น่าเชื่อถือกว่า ราคาถูกกว่าและบริหารจัดการได้ดีกว่า คุณเชื่อหรือไม่

CRISP_DM Model: The New Blueprint for Data Mining ได้กล่าวถึง กระบวนการทำ Data mining ว่ามี 6 ขั้นตอนด้วยกันคือ
1. การทำความเข้าใจในเรื่องธุรกิจที่จะทำ
2. การทำความเข้าใจกับข้อมูลที่จัดเก็บ
3. การเตรียมข้อมูล
4. การสร้างโมเดล
5. การประเมินผล
6. การนำไปใช้งาน

ขั้นตอนเหล่านี้ขอเรียกเป็นเฟส ตามเอกสารต้นฉบับก็แล้วกัน ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

เฟสที่ 1 การทำความเข้าใจในเรื่องธุรกิจที่จะทำ


เฟสที่หนึ่งจัดได้ว่า เป็นเฟสที่มีความสำคัญมากที่สุด เป็นการเริ่มต้นการทำความเข้าใจต่าง ๆ ให้ถ่องแท้ก่อนจะทำเฟสอื่น ๆ ต่อไป ในขั้นตอนนี้จะเน้นที่เราต้องทราบวัตถุประสงค์ของการทำโปรเจ็คเหมืองข้อมูลขององค์กรของเราเสียก่อน จากนั้นจะเกิดองค์ความรู้ขึ้นมาเอง แล้วจึงแปลงองค์ความรู้เพื่อให้กำหนดคำนิยามปัญหาในการทำเหมืองข้อมูล ถัดจากนั้นจึ่งเริ่มวางแผนที่ดำเนินการในขั้นต้น วางแผนขั้นตอนวิเคราะห์ ขั้นตอนออกแบบ และหาวิธีการแก้ปัญหาในช่วงสุดท้าย ในขั้นตอนการทำความเข้าใจธุรกิจนั้น มีขั้นตอนย่อย ๆ อีก ได้แก่ การกำหนดวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ แน่นอนว่าวัตถุประสงค์หลักทางธุรกิจคือ ผลกำไร อันนี้ทุกคนทราบดี แต่การได้มาซึ่งผลกำไรนั้นมาจากอะไรบ้าง เช่น 


  • มาจากการมีลูกค้ามาก ๆ และการรักษาลูกค้าเอาไว้ไม่ให้ไปหาคู่แข่งของเรานี่ซิ จะทำอย่างไร
  • มาจากการเพิ่มยอดขายให้กับสินค้า โดยให้ลูกค้าซื้อเพิ่มขึ้น เช่น ยาสีฟันที่มีขายเป็นแพ็คคู่ การโฆษณาของนมให้กินวันละ 2 กล่อง
  • มาจากการซื้อของที่ใช้ต่อเนื่อง หรือคู่กัน เช่น ซื้อไข่ ร่วมกับน้ำมันพืช

ยกตัวอย่างธุรกิจจำพวกธนาคาร ช่องทางให้บริการลูกค้าเพื่อผูกมัดลูกค้าให้อยู่กับเราตลอดนั้นมีหลายช่องทาง ได้แก่ เพิ่มตู้ ATM, เปิดสาขาใกล้บ้านหรือสำนักงาน หรือบริการผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาซึ่งเป็นลูกค้าของไทยธนาคาร เมื่อมหาวิทยาลัยฯ กำหนดนโยบายให้โอนเงินเดือนผ่านธนาคาร (ในสมัยนานมาแล้ว) มหาวิทยาลัยฯ จึงต้องให้อาจารย์ทุกคน เปิดบัญชีของไทยธนาคาร เมื่อมหาวิทยาลัยฯ มีนโยบายให้นักศึกษาจ่ายค่าลงทะเบียนเรียนผ่านทางธนาคาร นศ. ทุกคนจำเป็นต้องเปิดบัญชีกับธนาคารแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้ธนาคารจึงได้ลูกค้าไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน มีเงินหมุนเวียนเป็นจำนวนมาก เมื่อมีธนาคารกรุงศรีฯ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ มาเปิดใกล้มหาวิทยาลัย และพยายามเข้ามานำเสนอให้ทีมผู้บริหารเปิดรับธนาคารของตนเอง เข้ามาในรายการด้วย อยากทราบว่า ไทยธนาคารจะใช้ทฤษฎีกลยุทธ์ใดมารักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ให้ได้ (ใช้กลยุทธ์แบบฝรั่งหรือแบบไทย ๆ อันนี้ฝากให้เป็นข้อคิด)

ทฤษฎีของฝรั่งจากเอกสาร "Journal of data warehouse Volume 5 Number 4 Fall 2000" บอกไว้ว่า การลดค่าธรรมเนียมนั้น หรือค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าคู่แข่งนั้นมีผลกระทบกับกลุ่มลูกค้าเพียงบางกลุ่มเท่านั้น


เฟสที่ 2 การทำความเข้าใจกับข้อมูลที่จัดเก็บ

ในขั้นตอนนี้ เราต้องทำอะไรบ้างกับข้อมูล

แน่นอนว่าองค์กรที่จะทำ Data mining นั้นจะต้องมีฐานข้อมูลเป็นของตนเอง ได้แก่ ฐานข้อมูลจากการขายของระบบจุดขายหน้าร้าน (point of sale: POS) และควรมีระบบบัตรสมาชิก จึงจะทำให้ data mining มีประสิทธิภาพสูงสุด ในขณะเดียวกัน อาจนำข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในแหล่งที่ตั้งเดียวกัน ข้อมูลจากงานวิจัยภายนอกองค์กร  ข้อมูลเหล่านี้มันจะมีแอตทริบิวต์ไม่ตรงกับฐานข้อมูลของเรา เช่น เพศ ของเราอาจเก็บ M กับ F แต่จากการสำรวจแบบสอบถามเขาอาจเก็บ ชาย หญิง ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำให้ขั้นตอนนี้ ได้แก่


  • รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
  • ข้อมูลต้องถูกต้อง เชื่อถือได้
  • ปริมาณของข้อมูลต้องมากพอต่อการนำไปใช้ในการวิเคราะห์


เฟสที่ 3 การเตรียมข้อมูล

ดังได้กล่าวมาแล้วในเฟสที่ 2 ว่า ข้อมูลอาจจะมาหลายแหล่งเอามารวบรวมอยู่ในโครงสร้างเดียวกัน ดังนั้นกระบวนการเตรียมข้อมูลเพื่อให้ถูกต้อง เชื่อถือได้จึงต้องใช้เวลาในการทำนานมาก และใช้เวลามากที่สุดในกระบวนการทำ data mining ทั้ง 6 เฟส ดังนั้น บริษัทที่ฉลาด ๆ จึงทำเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์สำหรับงานนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ เช่น RapidMiner, Weka, R, SPSS เป็นต้น

ในเฟส 3 นี้ มีขั้นตอนย่อยออกเป็น 3 ขั้นตอนย่อยอีก นั่นคือ

  • การคัดเลือกข้อมูล ข้อมูลตามแอตทริบิวต์ในฐานข้อมูลในระบบการขาย มีการเก็บไว้มากมาย เราจะเลือกเอาข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้กับการวิเคราะห์เท่านั้น ประเด็นนี้ก็ต้องสอดคล้องกับเฟสที่ 1 และ 2 เช่น เราตั้งข้อสมมติฐานว่า เพศ อายุ ส่วนสูง น้ำหนักมีผลต่อการซื้อสินค้าเป้าหมายของเราหรือไม่ เราจำเป็นต้องเลือกแอตทริบิวต์เหล่านี้เข้าไปด้วย รวมทั้งสินค้าที่เขาซื้อไป สรุปสั้นในกระบวนการนี้ ได้แก่  1) กำหนดเป้าหมายว่าเราจะวิเคราะห์อะไร  2) เลือกใช้เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะทำการวิเคราะห์เท่านั้น เพื่อไม่ให้เสียเวลากับการเตรียมข้อมูล และการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์
  • การทำให้ข้อมูลคลีน (clean) คลีน บางตำราแปลคำว่า "คลีน" ได้ว่า กลั่นกรอง เขาคลีนข้อมูลกันอย่างไร แล้วข้อมูลที่ไม่คลีน เป็นข้อมูลแบบไหน เช่น  1) ข้อมูลที่ซ้ำกัน คลีนด้วยการลบให้เหลือหนึ่งเดียว  2) ข้อมูลที่ผิดพลาด แก้โดยการทำให้ถูก เช่น วันที่เก็บผิดรูปแบบจาก 31 ธ.ค. 2559 หรือ  31/12/2016 เป็น 2016-12-31 3) ข้อมูลที่หายไป ก็เพิ่มเข้าไป เช่น จำนวนบุตร ถ้าไม่มีบุตรบางข้อมูลจะเว้นว่างเอาไว้ แก้โดยการใส่ 0 4) ข้อมูลที่ไม่เข้าพวก แปลกแยกออกไป แก้โดยการใส่ข้อมูลค่าเฉลี่ย หรือค่าปริยาย (default) 
  • แปลงข้อมูล เป็นขั้นตอนการแปลงข้อมูลในรูปแบบตารางฐานข้อมูลให้อยู่ในรูป item set เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์ด้วยวิธีการของ data mining เช่น กฎความสัมพันธ์ หรือจำนวนความถี่ เป็นต้น

    เพื่อให้เห็นเด่นชัด เข้าใจในหัวข้อนี้ จึงขอแสดงรูปแบบการแปลงข้อมูลให้เห็น ดังตารางต่อไปนี้

    ตัวอย่างการแปลงจากตารางข้อมูลให้อยู่ในรูปของกฎความสัมพันธ์
  • IDProductsQuantity
    1ยาสีฟัน1
    1สบู่1
    1ผงซักฟอก1
    2ผงซักฟอก5
    2น้ำมันพืช2
    3ยาสีฟัน1
    3สบู่1
    3แปรงสีฟัน2
แปลงให้อยู่ในรูปกฎอัลกอริทึมความสัมพันธ์ ได้ดังตารางต่อไปนี้


IDยาสีฟันสบู่ผงซักฟอกน้ำมันพืชแปรงสีฟัน
1TRUETRUETRUE--
2--TRUETRUE-
3TRUETRUE--TRUE

ส่วนการแปลงในรูปแบบอัลกอริทึมจำนวนความถี่ จะขอยกตัวอย่างกรณี สำรวจหรือค้นหาข้อความ ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต เช่น เราค้นหาคำว่า สถานที่ท่องเที่ยวทางทะเล ใน google.com แล้วเขียนโปรแกรมให้นับคำจำนวนที่ซ้ำ ๆ กัน เอาไปใส่ในตาราง หน้าตาของตารางออกมาแนวนี้


IDภูเก็ตสมุยเสม็ดหลีเป๊ะพะงัน
154312
2...............







เฟสที่ 4. การสร้างโมเดล

เป็นขั้นตอนการวิเคราะห์การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิค data mining กันเลย ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายเทคนิค ได้แก่


  1. classification การคลาสซิฟายหรือการจำแนก แจกแจง เป็นโมเดลที่ใช้สำหรับนำข้อมูลที่มีอยู่มาทำนายอนาคต เช่น การพยากรณ์การขายสินค้า A ในฤดูฝนที่จะถึง หรือการพยากรณ์อากาศ เป็นต้น 
  2. clustering เป็นการแบ่งกลุ่ม หรือจัดกลุ่มในพวกเดียวกัน คล้ายคลึงกัน เช่น การแบ่งสินค้าตามรูปร่าง แบ่งสินค้าตามราคา หรือแบ่งสินค้าตามชนิดการใช้งาน
  3. association rules เป็นการหาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่เกิดร่วมกัน เช่น ค้นหาสินค้าที่มีการซื้อร่วมกันบ่อย ๆ แล้วนำเสนอให้ลูกค้ารายใหม่ ที่ใช้ใน amazon.com เป็นต้น

    สำหรับผู้อ่านที่สามารถเขียนโปรแกรมได้ สามารถหาไลบรารี ที่รวบรวมอัลกอริทึมต่าง ๆ มาให้เป็นเครื่องมือสำหรับใช้งาน เราสามารถเขียนคำสั่ง ไปประยุกต์ได้ สำหรับ association rules มีอัลกอริทึมของ Apriori และ FP-Growth ให้ใช้  ลองนำคำนี้ค้นหาใน google ก็สามารถหาเจอ และนำไปใช้ได้ โดยเฉพาะภาษาไพธอน มีให้ดาวน์โหลดนำไปใช้ได้ที่ https://pypi.python.org/pypi/apriori/1.0.0 (python apriori library)

    และที่ https://pypi.python.org/pypi/fp-growth/ (python FP-growth library)

เฟสที่ 5. การประเมินผล

เป็นขั้นตอนการประเมินผล หรือวัดหาประสิทธิภาพของการใช้โมเดลในเฟสที่ 4 ว่าโมเดลที่เลือกใช้งาน ใน data mining มีความถูกต้อง เชื่อมั่นได้เพียงไร 

ในขั้นตอนนี้จะใช้โมเดล decision tree หรือ neural network เป็นเครื่องมือในการประเมิน

  เฟสที่ 6. การนำไปใช้งาน

เมื่อได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ตามวัตถุประสงค์ทุกประการแล้ว ในขั้นตอนนี้จะเป็นการนำไปใช้งานจริง ตัวอย่างที่เราเห็นกัน ได้แก่ โฆษณาใน google หรือ amazon, lazada, youtube ระบบเล่นอัตโนมัติ เป็นต้น


Data mining ตอนที่ 1

สวัสดีปีใหม่ 2551 ครับ ผมตั้งใจว่าจะเขียนชุด Data mining เป็นตอน ๆ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่แล้วก็ยังไม่ได้เขียนซักที วันนี้ผมพอมีว่างเพราะพลาดการเดินทางโดยสารรถทัวร์ในช่วงหลังปีใหม่ ได้มีโอกาสเขียน เนื้อหา คงไม่เป็นในเชิงวิชาการมากนัก เพราะว่าการค้นคว้า การแปลเอกสารต้องใช้เวลานาน ผู้อ่านอย่าเพิ่งเชื่อในเนื้อหามากนัก ถ้าผิดพลาดหรือต้องการเพิ่มเติมเชิญ comment มาได้นะครับ สำหรับนักศึกษาจะเอาไปทำรายงานส่งอาจารย์ ต้องค้นคว้าเพิ่มเติมนะครับ ในตอนแรกจะกล่าวถึงความเป็นมา และแนะนำ data mining กันก่อน



Data mining ความหมายและวิวัฒนาการ



Data mining แปลตามตัว คือ เหมืองข้อมูล เพราะคำว่า mining แปลว่า การทำเหมือง(แร่) แต่ถ้าให้ความหมายตาม Pang-Ning Tan และคณะจะให้ความหมายว่า Data mining หมายถึง กระบวนการค้นหาให้ได้มาซึ่งสารสนเทศที่มีประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ที่ต้องการจากแหล่งข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ สารสนเทศที่ได้นิยมนำมาใช้การทำนาย แนวโน้ม พฤติกรรมต่าง ๆ ของลูกค้าได้ โดยใช้เทคนิคการสร้าง pattern


นับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยุคแรก โดยการเขียนโปรแกรมในรูปแบบระบบไฟล์ (File System) แล้วเปลี่ยนมาเป็นระบบฐานข้อมูล (Database System) ซึ่งประกอบด้วยตารางที่ใช้เก็บข้อมูลในรูปแบบแถวและคอลัมน์แทน ดาต้าเบสส่วนใหญ่จะเก็บเป็นทรานเซคชั่น หรือธุรกรรม กิจกรรมการเก็บข้อมูล จากการขาย หรืออื่น ๆ ฐานข้อมูลในแต่ละระบบจะมีหลายตาราง เช่น ตารางสินค้าเก็บรายการสินค้าต่าง ๆ ประกอบด้วยฟิลด์ (คอลัมน์) P_ID, Name, Supplier, price, cost, #inlnven เป็นต้น และมีตาราง sale ใช้สำหรับเก็บข้อมูลการขายสินค้า

เมื่อฐานข้อมูลที่จัดเก็บข้อมูลทรานเซคชั่นทุก ๆ วันจึงมีข้อมูลเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเกิดแนวคิดที่นำเอาข้อมูลเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง โดยเริ่มจากการใช้คำสั่ง เพื่อสรุปการขายสินค้าแต่ละชนิดในแต่ละวัน หรือนำมาจัดหมวดหมู่สินค้า กระบวนการนี้เรียกว่าการทำ analytical processing แต่บางคนเรียกกระบวนทั้งหมดว่าการทำ data warehouse

เมื่อมีการนำเอาฐานข้อมูลมาจัดทำสารสนเทศ สรุปผลต่าง ๆ ได้มากขึ้น หลังจากนั้นจึงมีการประยุกต์ เป็น data cube (จากข้อมูลเดิม 2 มิติ ทำเป็น 3 มิติ) หรือเรียกกันว่าการทำ OLAP = online analytical processing หลังจากนั้นจึงวิวัฒนาการพัฒนาเป็น Data mining ขึ้นในปัจจุบัน

Data mining จำแนกงานออกเป็น 2 แบบ
- Predictive tasks เป็นการนำเอาข้อมูลสารสนเทศมาทำนาย โดยอาศัยการทำโมเดล และใช้ข้อมูลเยอะ ๆ ยกตัวอย่างเช่น การทำนายชนิดของดอกไม้ โดยอาศัย species ที่แตกต่างกันของดอกไม้แต่ละชนิด
- Descriptive tasks เป็นการอธิบายข้อมูล เช่น มีลูกค้าอยู่กลุ่มหนึ่ง มีพฤติกรรมการซื้อสินค้า ที่พบบ่อย ๆ ว่าเขาชอบซื้อสินค้ากลุ่มใด ประเภทใด ควบคู่กับอะไรบ้าง เป็นต้น เป็นการอธิบายภาพรวม หรือหาสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก็ได้


แต่ก่อนจะไปศึกษาในเนื้อหาเชิงลึก ในตอนต่อไปจะขอกล่าวถึง โมเดลที่เขานิยมนำมาอ้างอิงในการทำ Data mining กัน นั่นคือ โมเดล CRISP-DM ครับ โปรดติดตามตอนต่อไป

เอกสารอ้างอิง
Pang-Ning Tan, Michael Steinbach, Vipin Kumar, Introduction to Data mining, Pearson International Edition;