วันจันทร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

ปาฐกถา "คนดีของแผ่นดิน" โดย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์

วันนี้ (30 ส.ค. 2553) ได้มีโอกาสเข้าฟังการปฐกถาพิเศษ หัวข้อ "คนดีของแผ่นดิน" โดย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เห็นว่า มีประโยชน์มาก จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อไปยังนักศึกษาและผู้สนใจ และเพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจให้กับตนเองด้วย พอจะสรุปใจความ ได้ดังนี้

การเป็นคนดี ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องลงทุน

เพียงใช้ความรัก เช่น รักพ่อ รักแม่ รักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์
เพราะคนเราเมื่อใจมีรักแล้ว จะทุ่มเท กำลังกาย ใจ เพื่อความรัก

คนดี

คนดี คือ คนที่มีคุณงาม ความดี
คนดี คือ คนที่มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นที่ต้องการและปรารถนาของคนอื่น

เราจะดูคนดี ดูได้อย่างไร

เราสามารถดูคนดีออกว่า คนนี้ คนนั้น เป็นคนดีหรือไม่ สามารถดูได้จาก....
  • ดูจากพฤติกรรมของคนนั้น ๆ
  • ดูจากจริยธรรม หมายถึง การปฏิบัติตน การประพฤติของเขา ถ้าดูพฤติกรรมอย่างเดียว อาจดูยาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาอาจเสแสร้งก็ได้ ดังนั้นจึงต้องดูกันนาน ๆ
  • ดูจากจิตใจ (mind) หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด
  • ดูที่คุณธรรม คนที่คิดดี คิดถูก คิดชอบ
  • ดูที่จิตสำนึก ภาวะจิตทีตื่น ตื่นต่อสิ่งเร้าทั้ง 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
การตรวจสอบคนดี

คนดีสามารถตรวจสอบได้ โดยมี 7 ข้อ
  1. ต้องรู้จักเหตุ-ผลที่กระทำลงไป เช่น เหตุเพราะไม่อ่านหนังสือ ผลคาดได้เลยว่าเราจะไม่มีความรู้ ไม่สามารถสอบผ่านได้ เมื่อเรารู้เหตุ คนดีมักระงับเหตุเพื่อไม่ให้เกิดผลที่ตามมา
  2. รู้จักผล การคาดการณ์ได้ว่า เหตุเกิดแบบนี้ ผลจะตามมาอย่างไร ในทางกลับกัน ถ้าเราทราบผล เรามาดำเนินการตามเหตุ เช่น ถ้าเราต้องการให้สอบได้ เราต้องหมั่นเพียรอ่านหนังสือ
  3. รู้จักตน รู้ศักยภาพตน รู้ฐานะตนว่ามีฐานะอย่างไร เก่งวิชาใด ใช้ความสามารถด้านนั้น
  4. รู้จักประมาณตน พอดี คำว่า พอ-ดี เช่น เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่แต่เพียงเศรษฐกิจอย่างเดียว รวมทั้งการดำเนินชีวิตด้วย
  5. เป็นคนรู้จักกาล หมายถึง เวลา เวลาใดควรทำอะไร เช่น เวลาเป็น นศ. ต้องรู้ว่าต้องอ่านหนังสือ ค้นคว้าหาความรู้
  6. รู้จักเทสะ แปลว่า สถานที่ สถานที่ใด ทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
  7. รู้จักบุคคล รู้จักความแตกต่างระหว่างบุคคล จะได้วางตนได้ถูกต้อง
จิตสำนึก

จิตสำนึก มีอยู่ในตัวเรา สามารถสร้างขึ้นได้ ปลูกฝังได้ ครูอาจารย์ ควรปลูกฝังความดีให้แก่ นศ.

"การทำความดีจะว่ายากก็ยาก การรักษาความดีนั้นยากกว่า"

การรักษาความดี ต้องมีจิตใจมั่นคง หนักแน่น อดทน

ความดีติดตัวเราไปจนตาย ความไม่ดีก็ติดตัวเราไปจนตาย เช่นเดียวกัน

"ความดีที่เราทำ กับความชั่วที่เราทำนำมาหักลบเหมือนคณิตศาสตร์ไม่ได้"

ดังนั้น เราไม่ควรทำสิ่งที่ไม่ดีเลยในชีวิตนี้ อะไรจะมาคอยเตือนเราไม่ให้ทำสิ่งไม่ดี นั่นคือสติ

เราจะส่งเสริมให้คนทำความดีได้อย่างไร

โดยการยกย่องคนดี การยกย่องเพื่อเป็นเกียรติ แก่ผู้ทำดี
เป็นหน้าที่ของเราทุกคน ที่ต้องบ่มเพาะให้เด็ก เป็นคนดีให้ได้ ถ้าไม่ทำถือว่า บกพร่องต่อหน้าที่

เราจะหยุดยั้งไม่ให้คนชั่วเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

การหยุดยั้งไม่ให้คนชั่วเพิ่มขึ้น โดยการตำหนิคนไม่ดี การตำหนิด้วยการ ใช้มาตรการลงโทษทางสังคม ที่ทุกคนต้องทำ
เช่น การไม่กราบไหว้ ไม่เคารพนับถือ ไม่คบค้าสมาคมกับคนที่ไม่ดี

สักวันหนึ่ง คนไม่ดีเหล่านั้นจะถึงคราววิบัติ

จบแค่นี้ครับ


จากปาฐกถาท่านให้ข้อคิดต่าง ๆ ดังกล่าวหลายอย่าง ทำให้คิดถึงตนเอง เวลานักศึกษา หรือใคร ๆ ไม่ยกมือไหว้เรา อาจเป็นเพราะว่าเราไม่สมควรแก่การเคารพหรือเปล่า ผมเคยถกกันพอสมควรกับเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน ในเรื่องการไหว้

ผมจะไม่ไหว้กับคนทุก ๆ คนแม้ว่าเขาเหล่านั้นจะอาวุโสกว่า
เพื่อนที่เป็นอาจารย์ของผม มักตำหนิอาจารย์รุ่นน้อง ๆ หรือลูกศิษย์แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ไม่ไหว้เขา ว่าเป็นคนไม่ดี ผมมักจะเถียงว่า อย่าตัดสินว่าคนดี หรือคนไม่ดีที่การไหว้ ถ้าเขาไหว้เราแล้วเป็นคนดี อย่างนี้ถือว่าผิดจากปาฐกถาของพลเอกเปรม หรือจากบทคำสอนของศาสนา

การตัดสินว่าคนดีหรือไม่ดีจากการไหว้ จึงเห็นได้ในสังคมไทยโดยทั่วไป ตั้งแต่การเลือกตั้ง
ผู้สมัครที่เป็นนักการเมืองทุก ๆ ระดับ จึงใช้การไหว้ เพื่อจะให้ได้คะแนน เพราะเขารณรงค์บอกว่า ให้เลือกคนดี คนดีคือคนที่ยกมือไหว้เรา ....ฮา
แม้แต่การหยั่งเสียงเลือก ผอ. สำนัก ในมหาวิทยาลัย ยังใช้วิธีการนี้ได้ผล คือ การไปไหว้หาเสียง ไหว้ให้สวยเพื่อยืนยันว่า ดีกว่า ....ฮาอีกครั้ง

สำหรับบุคคลใด ที่ไม่ค่อยมีใครไหว้ หรือไหว้บ้างก็ขอไหว้แบบขอไปที ไหว้แบบเกรงใจ ให้ฝึกสังเกตให้ดีนะครับ เพราะเขาอาจจะลงโทษท่านทางสังคมก็ได้ แล้วอย่าเฉไฉเป็นว่า คนไม่ไหว้เราเป็นคนไม่ดี จริง ๆ แล้วตนเองอาจเป็นคนที่ไม่ดี ไม่น่าเคารพ ควรแก่การกราบไหว้ก็ได้

ดังนั้น ผมจึงไม่ไหว้ผู้อาวุโสทุกคนนะครับ ถ้าผมรู้ว่าท่าน....

  • โกงกินเงินจากทางราชการแม้แต่เล็ก ๆ น้อย ๆ
  • ศีล 5 ข้อ ยังรักษาไม่ได้ โดยเฉพาะข้อ 3 และข้อ 5
  • เบียดเบียนคนอื่น แก่งแย่งแข่งขัน เห็นแก่ตัวอย่างไม่ละอายใจ อาศัยว่าตัวเองอาวุโสกว่าคนอื่น
  • เอาเปรียบคนอื่น ๆ งานใดที่ได้เงินเพิ่ม รีบจองขอทำ ทีเป็นงานที่ต้องเสียสละไม่มีสิ่งตอบแทน กลับให้น้อง ๆ เขาทำ
  • ฯลฯ

ฝึกสังเกตกันนะครับ

วันอังคารที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

Cloud Computing

ความหมายของ Cloud แปลตามตรงหมายถึง ก้อนเมฆ คำว่า computing หมายถึง การคำนวณ ถ้าจะเอาคำทั้งสองมารวมกัน จะแปลว่า การประมวลผลก้อนเมฆ มันจะมีความหมายที่ไม่ถูกต้องนัก นักคอมพิวเตอร์ เขาพยายาม ให้คำจำกัดความ การเรียกการประมวลผลแบบกระจาย หรือกริดคอมพิวเตอร์ ให้เป็นนามธรรม (Abstract) มากขึ้น คือจะไม่มองอะไรเพียงด้านเดียวเหมือนในอดีต เช่นการมองในมุมมองของนักคอมพิวเตอร์ มักจะมองคอมพิวเตอร์เป็นเพียงฮาร์ดแวร์ และมีโปรแกรมระบบปฏิบัติการโปรแกรมภาษา และโปรแกรมประยุกต์เป็นซอฟต์แวร์ มีการเชื่อมโยงกันเป็นเน็ตเวิร์ค และมีผู้ที่เชี่ยวชาญคอยควบคุมการทำงานให้ได้ 24 ชั่วโมง คูณ 7 วัน นั้นเป็นมุมมองในรูปแบบเก่าๆ ซึ่งเขาว่าเป็นมุมมองที่แคบเกินไป เขาพยายามให้มองในด้านอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ มุมมองทางธุรกิจ การยืดหยุ่น การขยายตัวในอนาคต การให้การบริการ การลดต้นทุน เป็นต้น

เมื่อมองในแง่ของการบริการทางธุรกิจ เขาเปรียบ Cloud computing เป็นเสมือนกับการให้บริการสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ที่เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่า โรงผลิตไฟฟ้ามาจากไหน ตั้งอยู่ที่ใด ขอเพียงให้บ้านของเรามีไฟฟ้าใช้ก็เพียงพอ สิ้นเดือนเราชำระเงินค่าบริการตามหน่วยที่เราใช้ไฟฟ้า เดือนไหนใช้มากเกินไป ในเดือนถัดไปเราลดค่าใช้จ่ายโดยการควบคุมลดการใช้ไฟฟ้าลงมา เป็นต้น Cloud computing ก็เช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่า Hosting นั้นตั้งอยู่แห่งหนใด เมื่อเราบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เราไม่ต้องรู้ว่าข้อมูลเก็บในไดร์ฟใด ไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามีเครือข่ายวางอยู่ ณ ประเทศใดบ้าง ขอเพียงให้มี Application ต่าง ๆ ที่เราต้องการใช้เป็นพอ หรืออาจบริการฐานข้อมูล ให้บริษัทเก็บข้อมูลใน Cloud computing เมื่อถึงเวลากำหนดชำระค่าบริการ เราก็จ่ายตามปริมาณการใช้ทรัพยากรของเขา มันก็ดูยุติธรรมดี

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า Cloud computing เป็นการบริการประมวลผลคอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการ โดยบริษัทผู้ให้บริการจะจัดหาทรัพยากรที่เกี่ยวข้องมาบริการ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลขนาดใหญ่ อาจจะอยู่เป็นกลุ่มก้อนเหมือนก้อนเมฆที่กระจัดกระจายวางอยู่ทั่วโลก ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าโปรแกรมที่ทำงานมันทำที่เครื่องใด ๆ โดยบริษัทผู้ให้บริการสนับสนุนทั้งผู้ดูแลระบบหรือ System Administrator ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้อง ระบบสำรองข้อมูลระบบรักษาความปลอดภัย และ Bandwidth ที่สามารถใช้การภายองค์กรได้

เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้งานที่เป็นปัจจุบัน (ที่ไม่ใช้บริการ Cloud computing) เช่น องค์กรหรือบริษัทที่ต้องการสร้างเว็บเพื่อขายสินค้าออนไลน์ ในขั้นต้นดำเนินการ เราต้องซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ Server จำนวนหนึ่ง จ้างผู้ดูแลระบบ จ้างโปรแกรมเมอร์สร้างเว็บไซต์ ค่าบริการเชื่อมโยงเครือข่าย เมื่อเปิดดำเนินการใหม่ ๆ ลูกค้ายังไม่มาก Web server ยังรองรับได้แต่เมื่อกิจการเจริญรุ่งเรือง Server ไม่สามารถรองรับได้ จำเป็นต้องซื้อเครื่องมาเพิ่ม เพิ่มคนดูแล ขยาย Bandwidth เป็นการลงทุนไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด ในทางกลับกันถ้าลงทุนสร้างเว็บแล้ว ไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ค่าใช้จ่ายที่ได้ซื้อเครื่องไปแล้ว ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ ฯลฯ จิปาถะ อาจทำให้บริษัทขาดทุนได้ เหตุผลเหล่านี้ที่บริษัทผู้ให้บริการมักนำมาอ้างเชิญชวนให้ใช้บริการ และหลายๆ องค์กรต่างก็เห็นด้วย ดังนั้นถ้าองค์กรเหล่านั้นหันมาใช้บริการจาก Cloud computing ไม่ว่าจะมีลูกค้าน้อย ท่านจะจ่ายน้อย ลูกค้ามากก็จ่ายเพิ่มขึ้น เป็นการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ ประหยัดการลงทุน

ในฐานะที่เป็นผู้ที่อยู่วงการคอมพิวเตอร์ ขอนำเสนอผลกระทบกับนักคอมพิวเตอร์ในด้านต่าง ๆ และสาขาที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
  1. System Administrator ในกรณีถ้าท่านมุ่งหวังอยากเป็น System Administrator ขององค์กรธุรกิจ ถ้าองค์กรหรือบริษัทหันไปใช้บริการ Cloud computing กันมาก ท่านอาจจะหางานยากมากขึ้น เพราะมีการแข่งขันแย่งกันสมัครงานกันมากขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าท่านเป็นหนึ่งในยุทธจักร ท่านจะได้ทำงานกับบริษัทที่เป็น Cloud computing หรือถ้าหากบริษัทที่บริการ Cloud computing เกิดขึ้นมากท่านจะได้รับการจ้างงานด้วยค่าจ้างที่สูงมากควบคู่กับแรงกดดันมากเช่นกัน แรงกดดันจากความคาดหวังของลูกค้าที่จะไม่ให้เกิดการ Downtime เกิดขึ้นเลย หรือท่านอาจจะเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Cloud computing เสียเองถ้ามีเงินทุนเพียงพอ
  2. Programmer นักพัฒนาเว็บไซต์ หรือเขียนโปรแกรมจะต้องปรับตัวเช่นกัน เพราะ Cloud computing จะ Support ไม่ได้ทุกภาษา แต่จะกำหนดภาษาที่บริษัทรับบริการรองรับเท่านั้น เช่น www.gogrid.com รองรับภาษาเฉพาะ Java, PHP, Python, และ Ruby เท่านั้น หรือ Google.com สนับสนุน 2 ภาษา ได้แก่ Java และ Python เท่านั้น เป็นต้น ดังนั้น ถ้าท่านต้องการเป็นผู้ได้รับคัดเลือกท่านต้องเชี่ยวชาญภาษาเหล่านี้ แต่คาดว่าองค์กรธุรกิจยังคงจ้างงานโปรแกรมเมอร์ เช่นเดิม เพราะผู้ให้บริการจะไม่บริการพัฒนาโปรแกรมเฉพาะทางไว้ให้
  3. Network Administrator ผู้บริหารเครือข่ายอาจจะกระทบน้อยกว่าสาขาอื่น เพราะทุก ๆ องค์กรจำเป็นต้องเชื่อมโยง ยังต้อง Configuration Router, Core switch ต่าง ๆ เช่นเดิม
  4. Database Designer นักออกแบบฐานข้อมูลเป็นสาขาที่กระทบน้อยที่สุด คล้าย ๆ กับ Network Administrator เพราะองค์กรจำเป็นต้องออกแบบฐานข้อมูลของตนเอง หรืออาจจะซื้อโปรแกรมสำเร็จรูป ซึ่งในปัจจุบันก็เป็นในลักษณะนี้เหมือนๆ เดิม
  5. Help Desk ช่างเทคนิคที่ทำหน้าที่คอยแก้ปัญหาเมื่อเวลาเครื่องคอมพิวเตอร์มีปัญหา ก็ไม่ได้รับผลกระทบเช่นกันเพราะ Cloud computing ยังคงใช้เครื่อง Client ในการติดต่อกับ Cloud computing
เมื่อพิจารณาผลดีผลเสียแล้ว ขอให้ผู้อ่านตัดสินใจว่าจะปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยได้อย่างไร ยืนอยู่ได้ พร้อมการแข่งขันตลอดเวลา รวมทั้งนักไอทีที่ต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน

วันอังคารที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

เปิดอบรมหลักสูตร การพัฒนาฐานข้อมูลด้วยภาษาจาวา (Java) กับ MySQL

ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จัดให้มีโครงการบริการวิชาการแก่ชุมชน จึงได้จัดให้มีการอบรมหลักสูตร การพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้วยภาษาจาวา MySQL และ JSF Framework ด้วย Netbeans IDE

หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับครูมัธยมศึกษาผู้สนใจการเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ ตามโครงการรับนักเรียนพิเศษ นักเรียนตามโครงการนักเรียนพิเศษ(Cyber classroom) นักศึกษาระดับ ปวช. ปวส. และอุดมศึกษา ที่ต้องการทำโครงงานเพื่อให้สำเร็จการศึกษา โปรแกรมเมอร์ที่ใช้ภาษาอื่น ๆ และผู้สนใจทั่วไป

กำหนดอบรมวันที่ 24-28 พ.ค. 2553 เวลา 8.30-16.30 น.
สถานที่ อาคาร 8 ห้อง 8-404 มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
ค่าลงทะเบียน 600 บาท รวมค่า อาหารกลางวัน อาหารว่างและเอกสาร

วิทยากร
อ.ทวีรัตน์ นวลช่วย
นายเทพนม อินทร์จักร



รับจำนวน 25 คนเท่านั้น

หมดเขตรับสมัครวันที่ 21 พ.ค. 2553